Collar Strategy
Collar Strategy
โครงสร้างของกลยุทธ์
Collar คือกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์ ถือหุ้นจริง (Long Stock) แล้วทำการ
- ขาย Call Option (Covered Call) เพื่อรับ Premium
- ซื้อ Put Option (Protective Put) เพื่อป้องกันขาลง
เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ “ล็อคกรอบผลตอบแทน” บน – ล่าง
ได้กำไรหากหุ้นไม่หลุดกรอบ และจำกัดขาดทุนไว้ล่วงหน้า
หลักการง่าย ๆ:
- ถ้าหุ้น Sideway → ได้กำไรจาก Premium
- ถ้าหุ้นขึ้นแรง → ขายหุ้นที่ราคาตาม Strike Call
- ถ้าหุ้นลงแรง → ใช้สิทธิ์ขายหุ้นที่ Strike Put (จำกัดขาดทุน)
ตัวอย่างเปรียบเทียบง่าย ๆ:
เหมือนคุณซื้อทองไว้ แล้วซื้อประกันว่าถ้าทองตกจะขายได้ที่ราคาหนึ่ง และในขณะเดียวกันก็ขายสิทธิ์ให้คนอื่นมาซื้อทองจากคุณในราคาที่กำหนด → คุณรับรายได้ล่วงหน้า แต่จำกัดกำไร
Payoff Diagram
โครงสร้างพื้นฐานของ Collar:
- ถือหุ้น Long Stock ที่ราคา $100
- ขาย Call Option ที่ Strike $110 รับ Premium $3
- ซื้อ Put Option ที่ Strike $95 จ่าย Premium $2
- Net Premium = +$1 → ช่วยลด Break-even
วิเคราะห์ Payoff:
- Max Profit = ($105 – $100) – $1 = $4 × 100 = $400
- Max Loss = ($100 – $95) + $1 = $6 × 100 = $600
- Break-even Point = $100 + $1 = $101
พฤติกรรมของกลยุทธ์
ปัจจัย | พฤติกรรม | อธิบายเพิ่มเติม |
---|---|---|
หุ้นขึ้นแรง | กำไรถูกจำกัด (ขายหุ้นที่ Strike Call) | กำไรเต็มที่ตามเพดาน |
หุ้น Sideway | เก็บ Premium และไม่มีความเสี่ยงด้านล่าง | กลยุทธ์ปลอดภัย |
หุ้นลงแรง | ขาดทุนถูกจำกัด (เพราะมี Put) | ป้องกันขาดทุนไว้ล่วงหน้า |
พฤติกรรมทาง Greek
Greek | ลักษณะ | ทำไมเป็นแบบนี้ | หมายเหตุ (ลงลึก) |
---|---|---|---|
Delta | ใกล้ 0 ถึง บวกเล็กน้อย | หุ้น +1, Call -0.4, Put +0.3 → Net Delta บวกเล็กน้อย | เป็น Delta Neutral Strategy ได้ |
Gamma | ต่ำ | มี Option สองข้าง หักล้างกันบางส่วน | ไม่ไวต่อความผันผวนราคา |
Theta | บวกเล็กน้อย | ได้จาก Short Call แต่เสียจาก Long Put | หาก Net Premium เป็นบวก → Theta มักเป็นบวก |
Vega | เป็นกลางถึงลบ | Long Put ได้ประโยชน์, Short Call เสียประโยชน์ → หักล้างกัน | Vega Neutral Strategy ได้เช่นกัน |
เทคนิคการตั้งค่ากลยุทธ์ (Tuning and Optimization)
การเลือก Strike Call
- สิ่งที่เลือก: เลือก Strike ที่คุณยินดีขายหุ้น
- ทำไมถึงเลือกแบบนี้: จำกัดกำไรบน และรับ Premium
- เป้าหมาย: รับรายได้ + จำกัดขอบเขตผลตอบแทน
- ความเสี่ยง: หุ้นขึ้นเกิน Strike → ต้องขายในราคาต่ำกว่าตลาด
การเลือก Strike Put
- สิ่งที่เลือก: เลือก Strike ที่คุณไม่อยากขาดทุนเกิน
- ทำไมถึงเลือกแบบนี้: ใช้เป็น Stop-Loss ทางยุทธศาสตร์
- เป้าหมาย: จำกัดขาดทุน และควบคุมความเสี่ยง
- ความเสี่ยง: Premium ของ Put อาจทำให้ต้นทุนสูงเกินไป
การเลือก Expiration
- สิ่งที่เลือก: เลือกเดือนเดียวกันทั้ง Call และ Put
- ทำไมถึงเลือกแบบนี้: สร้าง Symmetry ใน Payoff
- เป้าหมาย: ให้การ Hedge มีประสิทธิภาพ
- ความเสี่ยง: ถ้าใกล้หมดอายุมาก → เสี่ยงเรื่อง Gamma Spike
ตัวอย่างการใช้งานจริง (Case Study)
กรณีกำไร
- ซื้อหุ้นที่ $100
- ขาย Call $110 รับ Premium $3
- ซื้อ Put $95 จ่าย Premium $4
- หุ้นปิดที่ $105 → ถูกใช้สิทธิ์ขายหุ้น
- กำไรรวม = ($105 – $100) – Net Premium = $5 – $1 = $4 × 100 = $400
กรณีขาดทุน
- หุ้นตกไป $90
- Call หมดค่า
- ใช้สิทธิ์ Put ขายหุ้นที่ $95
- ขาดทุนหุ้น = ($100 - $95) = $5
- บวก Net Premium $1 → ขาดทุนสุทธิ = $6 × 100 = $600
ข้อดี / ข้อเสีย
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
จำกัดทั้ง Max Profit และ Max Loss อย่างชัดเจน | ไม่ได้กำไรเต็มจากหุ้นหากขึ้นแรง |
เหมาะกับการ Hedge พอร์ตหุ้น | ต้องเสียค่าธรรมเนียมและ Spread สองด้าน |
จัดการความเสี่ยงได้แบบมีระบบ | ต้องเข้าใจ Option อย่างลึก |
สรุป
- Collar เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุนที่อยาก “ถือหุ้นอย่างมั่นใจ”
- สามารถออกแบบความเสี่ยงให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเอง
- ใช้ได้ทั้งช่วงข่าวแรง ช่วงงบ หรือช่วงตลาดไม่แน่นอน