Covered Call
Covered Call
โครงสร้างของกลยุทธ์
Covered Call คือกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์ ถือหุ้นอยู่จริง แล้วทำการ ขาย Call Option บนหุ้นที่ถืออยู่
เพื่อรับ Premium เป็นรายได้เพิ่มเติม
ถ้าราคาหุ้นไม่ขึ้นเกิน Strike → เก็บ Premium + กำไรจากหุ้น
ถ้าราคาหุ้นขึ้นเกิน Strike → ต้องขายหุ้นตามราคาที่ Strike (ถูก Limit กำไร)
หลักการง่าย ๆ:
- ถ้าหุ้นนิ่งหรือลงเล็กน้อย → เก็บ Premium เต็ม
- ถ้าหุ้นขึ้นเกิน Strike → ถูกบังคับขายหุ้นในราคาคงที่
ตัวอย่างเปรียบเทียบง่าย ๆ:
เหมือนคุณถือทอง แล้วขายสัญญา “สัญญาจะขายทอง” ล่วงหน้าในราคาที่กำหนด เพื่อเก็บค่า Premium แม้ว่าทองอาจขึ้นหรือลง
Payoff Diagram
โครงสร้างพื้นฐานของ Covered Call:
- สิ่งที่ทำ:
- Long Stock ที่ราคา $100
- ขาย Call Option ที่ Strike $105 และรับ Premium $5
- มุมมองตลาด: คาดว่าหุ้น “จะขึ้นแบบจำกัด” หรือ “Sideway”
- รายรับ: Premium ที่ได้รับ + Capital gain จากหุ้น (จนถึง Strike)
- Max Profit: จำกัดที่ ($105 - $100) + $5 = $10 ต่อหุ้น = $1,000
- Max Loss: ไม่มีขีดจำกัดด้านล่าง (เพราะถือหุ้น) → หากหุ้นตกไปถึง $0
- Break-even Point:
= ราคาหุ้น - Premium
= $100 - $5 = $95
วิเคราะห์กราฟ Payoff:
- หากราคาหุ้นอยู่ระหว่าง $95 – $105 → มีกำไร
- หากหุ้นขึ้นเกิน $105 → ถูก Call ออก (ขายหุ้นที่ Strike) → ได้กำไรเต็มที่ $1,000
- หากหุ้นตกต่ำกว่า $95 → เริ่มขาดทุน (แต่ดีกว่าถือหุ้นเปล่าเพราะมี Premium ช่วยลดต้นทุน)
จุดเด่นของกลยุทธ์:
- ได้กำไรในตลาดที่ “นิ่งหรือลงไม่มาก”
- สร้างรายได้จาก Time Decay (ค่า Premium)
- เหมาะกับผู้ที่ถือหุ้นอยู่แล้ว และอยากสร้างรายได้เพิ่มในระยะสั้น
พฤติกรรมของกลยุทธ์
ปัจจัย | พฤติกรรม | อธิบายเพิ่มเติม |
---|---|---|
ราคาหุ้นขึ้นมาก | กำไรจำกัด (ถูก Cap ที่ Strike + Premium) | ขายหุ้นออกในราคาคงที่ |
ราคาหุ้นนิ่ง | กำไรจาก Premium | ไม่มีภาระผูกพันเพิ่มเติม |
ราคาหุ้นลง | ขาดทุนตามราคาหุ้นที่ลดลง แต่ลดความเจ็บปวดด้วย Premium ที่รับมา | Premium ช่วยลด Break-Even |
พฤติกรรมทาง Greek
Greek | ลักษณะ | ทำไมเป็นแบบนี้ | หมายเหตุ (ลงลึก) |
---|---|---|---|
Delta | บวกเล็กน้อย | เพราะถือหุ้น (Delta +1) แต่ขาย Call (Delta -0.4 ถึง -0.6) → รวมแล้ว Delta ต่ำกว่า 1 | Delta ต่ำกว่าถือหุ้นเปล่า |
Gamma | ลบ | การขาย Option ทำให้ Gamma ติดลบ → Delta ไม่ปรับตัวตามราคาหุ้นได้ดี | เสี่ยงถ้าราคาวิ่งแรง |
Theta | บวก | ได้ประโยชน์จากเวลาผ่านไป → Theta บวก | ยิ่งเวลาผ่านไป Premium ยิ่งสลายเป็นกำไร |
Vega | ลบ | Volatility เพิ่มทำให้ Option แพงขึ้น (ไม่ดีสำหรับผู้ขาย Call) → Vega ลบ | ช่วงตลาด Panic ต้องระวัง Short Call เสี่ยงขาดทุนเพิ่ม |
เทคนิคการเลือกตั้งค่ากลยุทธ์ (Tuning and Optimization)
การเลือก IV (Implied Volatility)
- สิ่งที่เลือก: เลือก IV สูงก่อนขาย Call
- ทำไมถึงเลือกแบบนี้: รับ Premium สูงสุด
- เป้าหมายปลายทาง: ให้ IV ลดลงและเวลาผ่านไปเพื่อได้กำไร
- ความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา: ถ้า Volatility เพิ่ม → Short Call เสี่ยงขาดทุน
การเลือก Strike Price
- สิ่งที่เลือก: เลือก Strike OTM เล็กน้อย
- ทำไมถึงเลือกแบบนี้: ยอมเสียศักยภาพกำไรนิดหน่อยเพื่อรับ Premium
- เป้าหมายปลายทาง: ขายหุ้นที่ราคาสูงกว่าปัจจุบัน หรือไม่โดน Assigned
- ความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา: Strike ใกล้เกินไป → กำไรถูก Cap ง่าย
การเลือก Expiration Date
- สิ่งที่เลือก: เลือก Expiry 30-60 วัน
- ทำไมถึงเลือกแบบนี้: Theta Decay เร็วพอดี และไม่ไกลเกินไป
- เป้าหมายปลายทาง: ลดความเสี่ยงของ Gamma Risk ใกล้หมดอายุ
- ความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา: ถ้าใช้ Expiry สั้นเกินไป → ต้อง Roll บ่อย
ตัวอย่างการใช้งานจริง (Case Study)
กรณีกำไร
- ถือหุ้น A 100 หุ้น ต้นทุน $95
- ขาย Call Strike $105 รับ Premium $2.00
- หุ้นปิดที่ $104 ก่อนหมดอายุ
- กำไรรวม = ($104 - $95) + $2 = $11 ต่อหุ้น
- กำไรสุทธิ = $11 × 100 = $1,100
สาเหตุที่กำไร:
- หุ้นไม่ทะลุ Strike
- เก็บ Premium + Capital Gain เต็ม
กรณีขาดทุน
- ถือหุ้น A 100 หุ้น ต้นทุน $95
- ขาย Call Strike $100 รับ Premium $2.00
- หุ้นตกไป $85 ก่อนหมดอายุ
- ขาดทุนจากหุ้น = ($95 - $85) = $10
- หัก Premium $2 = ขาดทุนสุทธิ = $8 ต่อหุ้น = $800
สาเหตุที่ขาดทุน:
- หุ้นตกแรงเกินกว่าที่ Premium ช่วยป้องกันได้
ข้อดี / ข้อเสีย
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
สร้างกระแสเงินสดเสริมจากพอร์ตหุ้น | กำไรถูก Cap ถ้าหุ้นพุ่งแรง |
ได้ประโยชน์จากเวลาผ่านไป (Theta) | เสี่ยงขาดทุนจากหุ้นถ้าตลาดลงแรง |
ลดต้นทุนถือหุ้นได้ | เสี่ยงถูกบังคับขายหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าตลาด (หาก Strike ต่ำเกินไป) |
สรุปบทเรียน
- Covered Call เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้เสริมจากหุ้นที่ถืออยู่
- ต้องยอมรับการจำกัดกำไรหากราคาหุ้นขึ้นแรง
- เทคนิคการเลือก Strike และ Expiry เป็นหัวใจของความสำเร็จ