การบริหารความเสี่ยงพอร์ต (Portfolio Risk Management)

การบริหารความเสี่ยงพอร์ต (Portfolio Risk Management)

การบริหารความเสี่ยงพอร์ต (Portfolio Risk Management)

ความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง

ในการเทรด Options การบริหารความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องรอง แต่เป็นหัวใจหลักในการอยู่รอดและเติบโตในระยะยาว

  • จำกัดขนาดของการขาดทุน (Loss Control)
  • รักษาสภาพคล่อง (Liquidity)
  • เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนต่อเนื่อง (Consistent Return)

องค์ประกอบสำคัญในการบริหารความเสี่ยงพอร์ต Options

1. กำหนดขนาดสถานะ (Position Sizing)

  • อย่าเสี่ยงเกิน 1-3% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
  • ใช้ Delta Value หรือ Notional Exposure คำนวณความเสี่ยงที่แท้จริง

2. การ Diversify (กระจายความเสี่ยง)

  • กระจายกลยุทธ์ (เช่น Long/Short, Debit/Credit)
  • กระจาย Asset Class (หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์)
  • กระจาย Time Frame (Short-Term/Long-Term Options)

3. การบริหาร Delta, Vega, Theta

  • ควบคุม Exposure ต่อทิศทาง (Delta)
  • บริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลง Volatility (Vega)
  • บริหารผลกระทบจากการเสื่อมของเวลา (Theta)

4. ตั้งกฎการตัดขาดทุนและทำกำไร (Stop-Loss & Profit-Taking)

  • ตั้งระดับขาดทุนที่ยอมรับได้ล่วงหน้า
  • ตั้งเป้ากำไรเพื่อ Lock-In ก่อนหมดอายุ
ในตลาด Option ที่ผันผวนสูง ผู้ที่มีระบบบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็งเท่านั้น ที่จะสามารถอยู่รอดและสะสมผลตอบแทนได้ระยะยาว

ตัวอย่างเทคนิคบริหารพอร์ตแบบง่าย

  • จำกัดการใช้ Margin ไม่เกิน 50% ของพอร์ต
  • หาก Delta รวมของพอร์ต > 0.5 หรือ < -0.5 → ต้อง Hedge ลดความเสี่ยง
  • ใช้ Risk/Reward Ratio อย่างน้อย 1:2 ก่อนเปิดสถานะทุกครั้ง
  • ตั้งค่า Portfolio Max Drawdown (เช่น ขาดทุนรวมเกิน 10% → หยุดเทรดชั่วคราว)

ข้อควรระวังในการบริหารความเสี่ยง

  • อย่าประมาทการเคลื่อนไหวเร็วจากข่าว (Gap Risk)
  • อย่าประมาทผลกระทบจาก IV Collapse หรือ Spike
  • อย่าทบไม้ (Martingale) เพื่อแก้ขาดทุนโดยไม่มีแผนที่ชัดเจน

สรุป

  • การบริหารความเสี่ยงไม่ใช่แค่เรื่องการป้องกันการขาดทุน แต่คือเครื่องมือในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง
  • นักเทรดที่ประสบความสำเร็จ คือผู้ที่บริหารพอร์ตแบบนักธุรกิจ ไม่ใช่แค่ลุ้นกำไรในแต่ละดีล