Option ETFs and TAX
Option ETFs สามารถมอบผลตอบแทนที่น่าสนใจและช่วยบริหารความเสี่ยงได้ แต่มีอีกแง่มุมหนึ่งที่นักลงทุน ห้ามมองข้ามเด็ดขาด นั่นคือ “ภาษี” การจัดการภาษีของ Option ETFs นั้นมักจะ ซับซ้อนกว่า กองทุน ETF ทั่วไปอย่างมาก และความเข้าใจผิดในเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ “ผลตอบแทนสุทธิ” ที่คุณจะได้รับจริงๆ
การจ่ายผลตอบแทน: ไม่ใช่แค่ “เงินปันผล”
สิ่งที่นักลงทุนได้รับจาก Option ETFs (ที่เรียกว่า Distributions) อาจไม่ได้มาจาก “เงินปันผล” หรือ “กำไร” เพียงอย่างเดียว แต่มักจะมาจากแหล่งที่หลากหลาย และถูกจัดประเภททางภาษีแตกต่างกัน:
- แหล่งที่มา:
- ค่า Premium จาก Option: รายได้หลักจากการขาย Call หรือ Put
- เงินปันผล: หาก ETF ถือหุ้นอ้างอิงโดยตรง
- กำไรส่วนทุน (Capital Gains): จากการซื้อขายหุ้นหรือ Option ภายในกองทุน
- ประเภทการจ่าย (ที่มักพบ):
- รายได้/กำไรระยะสั้น: มักมาจาก Premium ของ Option ระยะสั้น อาจถูกหักภาษีในอัตราที่สูงกว่า
- กำไรระยะยาว: หากกองทุนถือครองสินทรัพย์นานกว่ากำหนด (มักจะให้ประโยชน์ทางภาษีมากกว่า)
- เงินปันผล: อาจมีอัตราภาษีเฉพาะ (ขึ้นอยู่กับกฎหมาย)
- การคืนทุน (Return of Capital - ROC): นี่คือส่วนที่สำคัญและซับซ้อนที่สุด!
เจาะลึก Return of Capital (ROC): เงินคืนที่ไม่ใช่กำไร!
ในบรรดาองค์ประกอบของการจ่ายผลตอบแทน (Distribution) จาก Option ETFs, Return of Capital (ROC) คือส่วนที่สร้างความสับสนและอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้มากที่สุด นักลงทุนจำนวนมากมักมองว่าการจ่ายผลตอบแทนสูงๆ คือสัญญาณที่ดี แต่หากส่วนใหญ่ของเงินนั้นคือ ROC มันอาจเป็น สัญญาณเตือน ที่คุณต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ทำไมกองทุนถึงจ่าย ROC?
การที่กองทุนเลือกจ่ายผลตอบแทนในรูปแบบ ROC มีสาเหตุหลักๆ ดังนี้:
- เพื่อสร้าง Yield ที่สูงและสม่ำเสมอ (Yield Enhancement & Smoothing): นี่คือเหตุผลที่พบบ่อยที่สุด! นักลงทุนมักถูกดึงดูดด้วย Yield สูงๆ แต่รายได้จริงจากกลยุทธ์ Option (ค่า Premium) หรือเงินปันผลอาจผันผวนและไม่แน่นอนในแต่ละเดือน/ไตรมาส กองทุนจึงอาจ “เติม” ส่วนที่ขาดหายไป ด้วยการจ่าย ROC เพื่อให้ตัวเลข Distribution Yield ดูสูงและคงที่ตามที่เคยประกาศหรือทำการตลาดไว้
- ธรรมชาติของกลยุทธ์: โดยเฉพาะ Covered Call ETFs ที่จำกัด Upside ในช่วงตลาดขาขึ้นแรงๆ กองทุนอาจไม่มีกำไรส่วนทุน (Capital Gain) มากพอที่จะจ่ายเป็นผลตอบแทน จึงต้องจ่ายเป็น ROC แทน
- โครงสร้างและการบัญชี: ในบางกรณี โครงสร้างทางกฎหมายหรือวิธีการบันทึกบัญชีของกองทุน อาจทำให้การจ่ายเงินบางส่วนถูกจัดประเภทเป็น ROC โดยอัตโนมัติ
- “ประโยชน์” ทางภาษี (ที่อาจเป็นภาพลวงตา): เนื่องจาก ROC ยังไม่ถูกเก็บภาษีทันที ณ ตอนที่ได้รับ มันจึงดูน่าสนใจกว่าการรับเงินปันผลหรือกำไรระยะสั้นที่ต้องเสียภาษีทันที แต่ดังที่เราจะเห็นต่อไป นี่เป็นเพียง การเลื่อนภาระภาษี ออกไปเท่านั้น
ผลกระทบ “จริง” ของ ROC ต่อเงินลงทุนและภาษีของคุณ
การรับ ROC มีผลกระทบสำคัญที่คุณ ต้อง เข้าใจ:
ก. การลดฐานทุน (Lowers Cost Basis):
- สำคัญที่สุด! ทุกบาททุกสตางค์ที่คุณได้รับเป็น ROC จะต้องถูกนำไปหักออกจาก “ต้นทุน” (Cost Basis) เดิมที่คุณใช้ซื้อ ETF นั้น
- Cost Basis คือ ราคาเฉลี่ยต่อหน่วยที่คุณจ่ายไปตอนซื้อ ETF (รวมค่าคอมมิชชั่น)
- การลด Cost Basis หมายความว่า ต้นทุนทางบัญชีของคุณสำหรับ ETF นั้นๆ จะ ต่ำลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ได้รับ ROC
- ตัวอย่างที่ชัดเจนขึ้น:
- คุณซื้อ ETF X 100 หน่วย ราคา 100 บาท (ต้นทุน 10,000 บาท, Cost Basis = 100)
- ปีที่ 1: จ่าย 8 บาท (Income 3, ROC 5) → Cost Basis ใหม่ = 100 - 5 = 95 บาท
- ปีที่ 2: จ่าย 8 บาท (Income 3, ROC 5) → Cost Basis ใหม่ = 95 - 5 = 90 บาท
- จะเห็นว่า ต้นทุนของคุณลดลงทุกปี แม้ราคาตลาดอาจไม่เปลี่ยนแปลง
ข. การเลื่อนภาษี… สู่ภาระที่อาจหนักกว่าเดิม!
- การที่ Cost Basis ลดลง หมายความว่า “กำไรส่วนทุนทางบัญชี” ของคุณจะ เพิ่มขึ้น
- เมื่อคุณตัดสินใจ ขาย ETF ในอนาคต คุณจะต้องคำนวณกำไรโดยใช้ Cost Basis ที่ “ลดลงแล้ว” นี้ ซึ่งจะทำให้คุณต้องเสียภาษีกำไรส่วนทุน (Capital Gain Tax) ในจำนวนที่มากขึ้น
- ตัวอย่าง (ต่อ):
- หลังจากถือ 2 ปี คุณขาย ETF X ที่ราคา 105 บาท
- กำไรที่คุณต้องเสียภาษี = 105 - 90 = 15 บาทต่อหน่วย
- (ไม่ใช่ 105 - 100 = 5 บาท อย่างที่คุณอาจเข้าใจในตอนแรก)
- คุณจะเห็นว่า ROC ไม่ได้ทำให้ภาษีหายไป มันแค่ “เลื่อนเวลา” ที่จะจ่ายออกไป และอาจทำให้คุณต้อง เสียภาษีในจำนวนที่ มากขึ้น ในอนาคต
ค. เมื่อฐานทุนเป็นศูนย์ (When Cost Basis Reaches Zero):
- หากคุณถือ ETF นานมากจนได้รับ ROC คืนมาเท่ากับต้นทุนเดิม (Cost Basis = 0) ROC ใดๆ ที่ได้รับหลังจากนั้น จะถูกนับเป็น Capital Gain และต้องเสียภาษีทันที ในปีที่ได้รับ
ROC: สัญญาณเตือน “Yield Trap” และ “NAV Erosion”
- Yield Trap: การที่ ETF โชว์ Distribution Yield สูงๆ แต่ส่วนใหญ่มาจาก ROC เป็นสัญญาณเตือนว่า Yield นั้น ไม่ยั่งยืน และ ไม่ได้สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง คุณอาจกำลังได้รับเงินต้นคืน โดยที่มูลค่าการลงทุน (NAV) กำลังลดลง
- NAV Erosion: หากกองทุนจ่าย ROC อย่างต่อเนื่อง หมายความว่ามันกำลังจ่ายเงินออกไปมากกว่าที่หามาได้ ซึ่งจะนำไปสู่การ ลดลงของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของกองทุนในระยะยาว การลงทุนของคุณอาจเล็กลงเรื่อยๆ แม้จะได้รับเงินสดคืนมาก็ตาม
จะรู้ได้อย่างไรว่า ETF จ่าย ROC?
- เอกสารแจ้งรายละเอียดการจ่ายผลตอบแทน: โดยปกติ โบรกเกอร์หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะส่งเอกสารที่ระบุประเภทของการจ่ายผลตอบแทนมาให้หลังมีการจ่ายเงิน
- เว็บไซต์ของผู้ออก ETF: มักจะมีข้อมูลรายละเอียดการจ่ายผลตอบแทนย้อนหลัง พร้อมการจำแนกประเภท
- Fund Fact Sheet / รายงานประจำปี: อาจมีข้อมูลนโยบายหรือประวัติการจ่าย ROC
- เอกสารยื่นภาษี: ในตอนสิ้นปี เอกสารสรุปเพื่อยื่นภาษีควรจะจำแนกประเภทรายได้ต่างๆ ให้ชัดเจน
ตัวอย่าง ROC:
- คุณซื้อ ETF A ราคา 100 บาท
- ETF จ่าย Distribution 8 บาท โดยระบุว่าเป็น ROC 5 บาท และ Income 3 บาท
- ต้นทุนใหม่ของคุณจะกลายเป็น 100 - 5 = 95 บาท
- คุณต้องเสียภาษี (ณ ที่จ่าย/ปลายปี) จาก Income 3 บาท
- หากปีถัดไปคุณขาย ETF ที่ราคา 105 บาท กำไรส่วนทุนของคุณคือ 105 - 95 = 10 บาท (ไม่ใช่ 105 - 100 = 5 บาท)
ภาษี ณ ที่จ่าย และการยื่นภาษี
การจ่ายผลตอบแทนจาก ETF ที่จดทะเบียนในไทย มักจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย (เช่น 10% สำหรับเงินปันผล/กำไรบางประเภท) แต่นักลงทุนยังคงมีหน้าที่ต้องนำรายได้เหล่านี้ (รวมถึงการพิจารณาผลกระทบจาก ROC ต่อต้นทุน) ไปรวมคำนวณและยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร
ETFs ต่างประเทศ (Offshore ETFs)
หากคุณลงทุนใน Option ETFs ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ (เช่น สหรัฐอเมริกา) ความซับซ้อนทางภาษีจะเพิ่มขึ้นไปอีก:
- อาจมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายของประเทศต้นทาง (เช่น 30% WHT ของสหรัฐฯ สำหรับบางกรณี)
- ต้องนำรายได้จากต่างประเทศมายื่นภาษีในประเทศไทยตามเงื่อนไข (เช่น นำเงินกลับเข้ามาในปีภาษีเดียวกัน)
- ต้องพิจารณาเรื่องสนธิสัญญาภาษีซ้อน (ถ้ามี)